GRAMMY สปินออฟบริษัทลูก GMM MUSIC เข้าตลาดหุ้น ระดมเงินขยายธุรกิจ
GRAMMY ตั้งเป้าโตอัตราเลข 2 หลัก อัดงบ 500 ล้านบาท สร้างศิลปินใหม่-ขยายช่องทางขาย
ช็อตประวัติศาสตร์! สานฝันแฟนเพลง ตัวท็อป 2 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ เตรียมขึ้นคอนเสิร์ตด้วยกัน
RS ปรับโครงสร้างใหญ่ธุรกิจเพลง ส่งเข้าตลาดหุ้นภายใน พ.ค.นี้
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2566 บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY รายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติแผนการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด หรือ GMM MUSIC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (Spin-Off) ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
โดยจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมของ GMM MUSIC ที่จะเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนชำระแล้วทั้งหมด โดยภายหลังการเพิ่มทุนและการเสนอขายหุ้น IPO แล้ว GRAMMY ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจควบคุม GMM MUSIC
ทั้งนี้ GMM MUSIC ดำเนินธุรกิจเพลงแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกศิลปิน การผลิตผลงานเพลง การทำการตลาด การบริหารและจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลง การจัดจำหน่ายสินค้าเพลงทั้งรูปแบบ Digital และ Physical รวมถึงการเป็นผู้จัดคอนเสิร์ต และเฟสติวัล รวมถึงเป็นผู้ดำเนินการบริหารศิลปิน
ขณะที่เงินลงทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ เพื่อการขยายธุรกิจในหลายภาคส่วนโดยมุ่งหวังที่จะสะท้อนให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ ขยายอุตสาหกรรมเพลงทั้งตลาด พร้อมเน้น 7 ยุทธศาสตร์การขยาย ได้แก่
1. Double Up Productionขยายการผลิต เป็นอีกเท่าตัวจากการผลิตในปัจจุบัน โดย GMM MUSIC มีแผน “จะเพิ่มการผลิต”
- เพลงจาก 400 เพลงต่อปี เป็น 1,000 เพลงต่อปี
- ศิลปินจาก 120 ศิลปิน เป็น 200 ศิลปินภายใน 5 ปี
- Playlist เข้าสู่ Streaming Platform จาก 3,000 Playlists เป็น 6,000 Playlists ต่อปี
- Full Album จาก 30 อัลบั้มต่อปี เป็น 50 อัลบั้มต่อปี
- ศิลปินฝึกหัดจาก 150 ศิลปิน เป็น 300 ศิลปินต่อปี
2. Showbiz Expansion
ขยายขนาดของ Music Festival ที่ครอบคลุมสูงสุดทั่วประเทศ รองรับผู้ชมมากกว่า 500,000 คนต่อปี ด้วยความตั้งใจร่วมมือกับทุกค่ายเพลง พร้อมต่อยอดแหล่งรายได้ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว กวาดรายได้ทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ
ในขณะที่ Arena Concert นอกจากจะมี Line Up ที่ครอบคลุมตั้งแต่ศิลปินยุคแจ้งเกิดของบริษัทจนถึงศิลปินยุคปัจจุบัน GMM MUSIC จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งใน และต่างประเทศในการขยาย Segment เดินหน้าสู่การเป็นผู้จัด International Fan Meeting & Concert อย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมจับมือกับ Promoter เจ้าต่าง ๆ ใน Southeast Asia เพื่อการขยายตัว
3. Local Alliance
ขยายพันธมิตรทางดนตรี ร่วมจับมือกับค่ายเพลงในประเทศไทย ผ่านการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ(M&A)หรือกิจการร่วมค้า(JV)เพื่อสร้าง Synergy Value ในการขยายการผลิต และการเติบโตทางธุรกิจทุกช่องทาง ร่วมกันสร้างให้อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตใหญ่ยิ่งขึ้นในระบบเศรษฐกิจมหภาค โดยสามารถสร้างการขยายตัวได้ทั้งในเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ พร้อมการสร้างรายได้ที่มากขึ้น
4. Global Strategic Partner
ขยายการจับมือกับบริษัทชั้นนำในต่างชาติผ่านการJVโดยบริษัทได้วางแผนที่จะจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, สแกนดิเนเวีย, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านในแถบ Southeast Asia ซึ่งการเดินหน้า JV ต่าง ๆ นี้จะคล้ายคลึงกับการ JV ของ GMM MUSIC กับ บริษัท YG Entertainment ในการจัดตั้ง JV YGMM เพื่อคัดสรร และผลิตศิลปินไทยป้อนสู่ระดับสากลที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
5. Media Networking
ขยายวงล้อมการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพในทุกรูปแบบ และทุกช่องทางการสื่อสารผ่านการสร้าง Partnership Deal หรือ JV เพื่อแลกเปลี่ยนศักยภาพทางธุรกิจที่ต่อยอดได้ไม่รู้จบทั้งสื่อทางด้าน On Air On Board Online และ On Ground ส่งเสริมการ Promote ศิลปินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
6. Data Intelligent
ขยายศักยภาพการบริหารจัดการข้อมูล Big Data ผ่านการลงทุนเพิ่มด้าน Data Scientist Machine Learning และระบบ AI พร้อมสร้าง Tools ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ทั้งในเชิงการค้า การบริหารจัดการ และการพัฒนาศิลปิน รองรับธุรกิจแห่งอนาคตที่ให้ความสำคัญด้าน Personalization Offering
7. New World Talentคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ขยายทีมงานแห่งอนาคตด้วยการลงทุนในบุคลากรรุ่นใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชี่ยวชาญใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเติมเต็ม สืบทอด ต่อยอด รองรับการก้าวไปข้างหน้าของธุรกิจเพลง
นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มิวสิค เปิดเผยว่าตสาหกรรมเพลงทั่วโลกได้เติบโตกลับมาถึงจุดที่เรียกว่า “Music Second Wave” ซึ่งหมายความว่า อุตสาหกรรมทั่วโลกมียอดรายรับทะลุจุดสูงสุดที่เคยสร้างไว้ในอดีตหรือเรียกง่าย ๆ ว่า อุตสาหกรรมเพลงได้กลับมาสู่จุดรุ่งเรืองสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง และกำลังเติบโตขึ้นจากตัวเลขการคาดการรายรับ (World Business Projection)
ทั้งนี้อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกจะเติบโตขึ้นอีกเป็นเท่าตัวภายในปี 2030 ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลหลักของการเติบโตนั้นมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การเติบโตของธุรกิจ Digital Streaming และการเติบโตของธุรกิจ Showbiz ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ การ Spin-Off ในครั้งนี้จะทำให้มูลค่าของ GMM MUSIC สะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริงของ GMM MUSIC ในอุตสาหกรรมเพลง ซึ่ง GMM MUSIC มีความพร้อมที่จะขยายตัวได้อีกมาก